วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

กำเนิดนาฏศิลป์ไทย

   
กำเนิดนาฏศิลป์ไทย

                ประเทศไทยมีประเพณีแบบอย่างทางศิลปการแสดงมาช้านาน  ซึ่งได้ผ่านมาหลายศตวรรษและหลายชั่วอายุคน  การถ่ายทอดศิลปะนี้ได้ผ่านมาหลายทาง  จากที่เป็นคำพูด  จนถ่ายทอดมาเป็นเอกสารจากเรื่องราวต่างๆ จนมาเป็นกิจกรรมทางการศึกษาอย่างมีระบบ  แต่กระนั้นประเพณีทางศิลปะของการแสดงนี้ก็ได้ผ่านจากยุครุ่งเรืองและยุคเสื่อม

                นาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งของการแสแห่งการกแสดงออกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อชีวิตประจำวันและวิถีชีวิตของชาวไทย  ไม่ใช่เป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียว  แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับศาสนาและกลุ่มสังคมหลายกลุ่ม โดยแท้จริงแล้วนาฏศิลป์ไทยนั้นสามารถที่จะบรรยายลักษณะเฉพาะตัวและยังสามารถที่จะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของสังคมไทยที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ โดยเฉพาะ ดังนั้นเราสามารถสังเกตได้ว่านาฏศิลป์ของไทยจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะที่จะบ่งบอกให้เห็นถึงความเป็นไทย

                ประเทศไทยตั้งอยู่ทางตอนกลางของทวีปเอเชียอาคเนย์ โดยอยู่ในแนวเส้นทางการพาณิชย์  ประเทศไทยจึงมีวัฒนธรรมที่หลากหลายจากทางตะวันตก  และทางตะวันออก  วัฒนธรรมเหล่านี้ได้หลั่งไหลเข้าสู้ประเทศไทย  ซึ่งมีผลทำให้รูปแบบทางประเพณีและศิลปะมีความแตกต่างกันไป

                นาฏศิลป์ไทยนั้นสามารถจะสืบค้นหาถึงความเป็นมาได้ว่ามีมาตั้งแต่เริ่มต้นประวัติศาสตร์

ชาติไทย  สิ่งที่นำเสนอออกมาถ่ายทอดผ่านการแสดงนาฏศิลป์ไทยนั้น  ทำให้เราเห็นวัถตุในทางศิลป์ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา  ทั้งวรรณคดี ประติมากรรม  จิตรกรรม เป็นต้น   ในแต่ละยุคของประวัติศาสตร์ไทยได้เผยให้เห็นถึงสิ่งมาชีวิตที่มีอยู่ รวมถึงความเจริญของมรดกทางวัฒนธรรมไทย

 

ความหมายของนาฏศิลป์

                คำว่า นาฏศิลป์ เป็นคำสมาส  แยกได้เป็น  2  คำ  คือ  คำว่า นาฏ และ ศิลป์

                นาฏ   หมายถึง  การร่ายรำ และการเคลื่อนไหวไปมา  สันสกฤตใช้รูปศัพท์คำว่า นฤตย ภาษามคธ  ใช้คำว่า นจฺจ และ นฤตฺย  เป็นชื่ออย่างหนึ่งของการฟ้อนรำบวงสรวงพระผู้เป็นเทวาลัย  โดยเลือกเอาจังหวะและท่ารำที่เต็มไปด้วยท่าเคารพสักการะ  และเลือกแสดงตอนที่เป็นการกระทำนับเนื่องในชีวประวัติของพระผู้เป็นเจ้าด้วย  ส่วนคำว่า นิจฺจ มีคำอธิบายเพิ่มอีก  ได้แก่  การฟ้อนรำ  นับตั้งแต่การฟ้อนรำพื้นเมืองของชาวบ้าน  เช่น รำโทน  ตลอดจนไปถึงการฟ้อนที่เรียกว่า ระบำของนางรำ (ที่กล่าวถึงในกฎหมายเก่า)  ระบำเดี่ยว  ระบำคู่  ระบำชุด  หรือระบำของนางนัจจะ  ซึ่งมีอยู่ในอินเดียจนบัดนี้

                ศิลปะ ความหมายของศิลปะกล้างออกไปตามความคิด  และแต่ละแขนงสาขา  ซึ่งจะกำหนดแน่นอนไม่ได้  เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ในสมัยแรก ๆ ศิลปะหมายถึงการช่างทั่ว ๆ ไป  ต้องใช้ฝีมือปฏิบัติโดยอาศัยมือ  ความคิด  และความชำนาญในการที่จะประกอบวัตถุนั้น ๆ ให้เกิดความงดงาม  ประณีต  ละเอียดอ่อน  ก่อให้เกิดความรู้สึกยินดีชื่นชมและเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น

                ศิลปะ   อาจหมายถึงการแสดงออกเพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์  การลอกเลียนแบบ  การถ่ายทอดความหมายต่าง ๆ หรือเป็นสิ่งที่มนุษย์เกิดจินตนาการในอันที่จะแสดงคุณค่าแห่งความงอกงามออกมาในรูปแบบต่าง ๆ หรือได้พบเห็นจากธรรมชาติแล้วนำมาดัดแปลงประดิษฐ์ขึ้นให้มีความวิจิตรละเอียดอ่อนซาบซึ้ง

          ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นโดยดัดแปลงจากธรรมชาติให้ประณีตสวยงาม

                ศิลปะนั้นย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะ  ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำศิลปะอันสูงส่งปรากฏแก่มวลมนุษย์ คือ เป็นแรงบันดาลใจ  ศิลปะที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องให้ความเพลิดเพลิน  นิยมยินดี  ซาบซึ้งแก่ผู้ดูและผู้ชม  รวมทั้งความคิด  สติปัญญา  ความงามทางด้านสุนทรียภาพ 

                ศิลปะ เป็นคำภาษาสันสกฤต (ส.ศิลฺป  ป.สิปฺป  มีฝีมือยอดเยี่ยม)  ซึ่งหมายถึงการแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นอย่างงดงามน่าพึงชมก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ   ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า ARTS

                ศิลปะอาจแบ่งแยกออกตามความสำคัญได้ดังนี้

                1. วิจิตรศิลป์ หรือประณีตศิลป์ (FINE ARTS)  เป็นศิลปะแห่งความสุขที่มุ่งหมาย  เพื่อช่วยสนองความต้องการทางอารมณ์  จิตใจ  และสติปัญญา  ก่อให้เกิดความสะเทือนใจ  นับเป็นศิลปะที่บริสุทธิ์ที่สร้างสรรค์จากสติปัญญาจิตใจ  ร่วมกับความเจริญทางด้านสุนทรียภาพของศิลปินแต่ละคน  แสดงออกโดยใช้ฝีมือเป็นส่วนใหญ่  แบ่งออกเป็น  5   ประเภทคือ

                                1. วรรณกรรม (LITERATURE)

                                2. ดนตรีและนาฏศิลป์ (MUSIC AND DRAMA)

                                3. จิตรกรรม  (PAINTING)

                                4. ปฏิมากรรม หรือ  ประติมากรรม (SCULPTURE)

                                5. สถาปัตยกรรม (ARCHITECTURE)

                วิจิตรศิลป์ทั้ง 5 ประเภทนี้ก่อให้เกิดอารมณ์และพุทธิปัญญา  กล่าวคือ  มนุษย์อาศัยศิลปะเพื่อแสวงหาความดี  และความบันเทิงใจให้กับจิตใจคน  เห็นคุณค่าทางศาสนาและวรรณคดี  ความงามสง่าแห่งสถาปัตยกรรม  บังเกิดความพอใจและมีอารมณ์คล้อยตามไปกับความรู้สึกนึกคิดของเรื่องราวและการแสดงออกของศิลปิน

                2. ประยุกต์ศิลป์ (APPLIED ARTS)  เป็นศิลปะแห่งอัตถะประโยชน์  เพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์  และด้านวัสดุที่ก้าวหน้า  โดยนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับหัตถกรรมและโภคภัณฑ์  เช่น เครื่องใช้ภายในบ้าน  การประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย  อาหาร  ซึ่งศิลปะนี้อาจประดิษฐ์ขึ้นด้วยเครื่องมือ หรือเครื่องจักร

                3. มัณฑนศิลป์  (DECORATIVE  ARTS) เป็นศิลปะแห่งการตกแต่งประดับประดา เช่นการตกแต่งสวน   อาคาร  สถานที่ต่าง ๆ  ห้องรับแขก  โดยใช้ศิลปะในการตกแต่งในสถานที่หรืออาคารนั้น  มีความงามส่งเสริมทางด้านจิตใจและอารมณ์

                4. อุตสาหกรรมศิลป์ หรือ พาณิชย์ศิลป์ (INDUSTAIL  OR  COMMERCAIL   ARTS) เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยส่วนใหญ่  ทำเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว  หรือในโรงงาน   อันเป็นผิตผลเพื่อการเงิน  เช่น  การปั้นรูปต่าง ๆ การผลิตเครื่องปั้นดินเผา  งานไม้ งานโลหะ  เป็นต้น  ส่วนด้านพาณิชย์ศิลป์นั้น  คือศิลปะเกี่ยวกับการค้า  ซึ่งต้องพยายามออกแบบให้เหมาะสมและถูกรสนิยมของประชาชน  ทำให้เกิดความต้องการซื้อ ได้แก่  ศิลปะการโฆษณา  การจัดตู้โชว์  ภาพโปสเตอร์

                5. ศิลปบริสุทธิ์ (PURE  ARTS)  เป็นศิลปะเพื่อตอบสนองอารมณ์ของศิลปินในการแสดงผลงานของตนออกมาในรูปแบบอิสระ  โดยไม่ได้มุ่งหวังให้ศิลปะที่ผลิตขึ้นมานั้น  มีผลงานทางการเงินเป็นสำคัญ นับเป็นศิลปะที่ผลิตขึ้นเพื่อศิลปะโดยแท้จริง

                6. PLASTIC  ARTS  เป็นศิลปะประเภทที่มีรูปทรง  คือ มีคุณค่าเชิงสามมิติ มีความกว้าง  สูง และความลึก  ศิลปะประเภทนี้ได้แก่  จิตรกรรม  ภาพพิมพ์  รวมทั้งปฏิมากรรม  และสถาปัตยกรรมด้วย

          ศิลปะที่กล่าวมานี้  ล้วนแต่เป็นศิลปะที่มีคุณค่าทางความงามในแต่ละสาขาตามแนวต่าง ๆ การให้ความคิด  การสร้างสรรค์แตกต่างกันไป  สรุปความได้ว่า  ศิลปะทุกประเภทมีจุดหมายเป็นจุดเดียวกันคือ  สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่นิยมยินดี  ขัดเกลาความคิดและจิตใจให้ผ่องใส  อันจะก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษย์โดยทั่วไป

               

                ฉะนั้น   คำว่า นาฏศิลป์ จึงประมวลความหมายได้ว่า  การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นจากธรรมชาติด้วยความประณีตอันลึกซึ้ง  เพียบพร้อมไปด้วยความวิจิตรบรรจงอันละเอียดอ่อน  นอกจากหมายถึงการฟ้อนรำ  ระบำ รำ เต้น ฟ้อนแล้ว  ยังหมายถึงการร้องและการบรรเลงด้วย

 

 

 

 

ที่มาของนาฏศิลป์

 

          นาฏศิลป์หรือศิลปะการร่ายรำ สันนิษฐานว่า มีมูลเหตุที่เกิดสำคัญ 2 ประการ คือ

                1. เกิดจากธรรมชาติ  ศิลปะทุก ๆ อย่างย่อมมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น  การฟ้อนรำก็เป็นศิลปะสาขาหนึ่งที่เรียกว่านาฏศิลป์  โดยดัดแปลงปรับปรุงมาจากธรรมชาติเช่นเดียวกับศิลปะสาขาอื่น ๆ  การฟ้อนรำเป็นการเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ  ตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงเท้า  มนุษย์เราทุกคนต้องมีอารมณ์  รัก  โกรธ  เศร้าโศก  บางขณะบางชั่วเวลาก็มีความบันเทิงเริงใจ  และมักจะแสดงกิริยาท่าทางเหล่านั้นออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย  กิริยาต่าง ๆ เหล่านี้ได้นำมาปรับปรุงให้เหมาะสมได้สัดส่วน  จนกลายเป็นท่าฟ้อนรำ  เช่น  การเต้นเป็นจังหวะ   ยกขา  ชูแขน  เอียงไหล่  หมุนตัว  ในระยะแรกอาจไม่งดงาม  แต่ต่อมาภายหลังได้ปรับปรุงและกำหนดสัดส่วนให้สวยงามขึ้นตามลำดับ

                2. เกิดจากการบวงสรวงบูชาเทพเจ้า   แต่โบราณมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาไม่มีสิ่งใดอันจะยึดเป็นที่พึ่งทางจิต  หรือเครื่องเคารพสักการะเหมือนปัจจุบัน   เทพเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตมนุษย์  ซึ่งเกิดจากการสมมติ  เมื่อมีการรวมพลังจิตมากเข้า  ก็ทำให้สิ่งสมมติมีความศักดิ์สิทธิ์ประสบความสำเร็จในที่ปรารถนา  เช่น  ญี่ปุ่นนับถือดวงอาทิตย์  เป็นการบูชาความสำคัญของดวงอาทิตย์ที่ให้ความเร้าร้อนและแสงสว่าง  อินเดียบูชารูปเคารพซึ่งแต่งตั้งเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ   ไทยเชื่อภูต ผี เทพารักษ์  เจ้าป่า  เจ้าเขา  รูปเคารพต่าง ๆ ที่มนุษย์สมมติขึ้นต่างได้รับการบวงสรวงบูชาด้วยอาหาร  หรือสรรพสิ่งอันควร  จากนั้นมีการบวงสรวงด้วยการร่ายรำ  กระโดดโลดเต้นตามจังหวะ  เช่น พวกแอฟริกา  คนป่า  ชาวเขา  เป็นแบบแผนวัฒนธรรมของแต่ละชาติ  นับได้ว่าเป็นนาฏศิลป์พื้นฐาน  ประเทศอินเดียมีหลักฐานปรากฏว่ามีการร่ายรำอ้อนวอนบูชาเทพเจ้าในคัมภีร์หนึ่งในสี่ของคัมภีร์ไตรเวท  อันมี

                                1. ฤคเวท

                                2. ยุชรเวท

                                3. สามเวท

                                4. อาถรรพเวท

                ต่อมามีการขับร้องประกอบการร่ายรำ  เพื่อให้มีความงดงามทางเสียงประกอบการรำเรียกว่า นาฏยเวท  เมื่อศิลปะแห่งการรำรุ่งเรืองในประเทศอินเดีย  พราหมณ์ได้นำเอาตำรานาฏเวทมาสอนในประเทศไทย  ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเข้ามาในสมัยใด  และเปลี่ยนชื่อตำรานาฏศาสตร์ เชื่อกันว่า  พระภรตมุนีเป็นผู้รจนา ตำรานาฏยศาสตร์นี้  บางครั้งเรียกว่า ตำราภรตศาสตร์  มีตำนานแห่งการฟ้อนรำของอินเดีย  กล่าวว่า  พระศิวะทรงเป็นบรมครูแห่งการฟ้อนรำ  ดังมีตำนานที่ได้กล่าวไว้

ตำนานการฟ้อนรำของอินเดีย

               

                เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า  ประเทศต่าง ๆ ในภาคพื้นเอเชีย  เอเชียอาคเนย์  หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย  ได้รับอารยธรรมมาจากประเทศอินเดียเป็นส่วนใหญ่  เมื่อไทยได้รับอารยธรรมจากอินเดีย  เป็นต้นว่า  ลัทธิ  ศาสนา  ขนบธรรมเนียมประเพณี  และศิลปะแขนงต่าง ๆ โดยมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว  ว่าเป็นอารยธรรมที่มีระเบียบแบบแผนที่ดีจึงได้นำมาดัดแปลงยึดถือเป็นแบบฉบับ  ตามความเห็นชอบของไทย  การฟ้อนรำหรือวิธีการด้านนาฏศิลป์  ก็เป็นอารยธรรมแขนงหนึ่งที่ไทยได้แบบแผนและแนวความคิดเดิมมาจากอินเดีย  บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตของไทยหลายคนได้ยืนยันในเรื่องนี้ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร  ในการศึกษาเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ไทยนั้น  ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้เรื่องตำนานการฟ้อนรำของอินเดียด้วย

                ตำนานการฟ้อนรำของอินเดียตามที่ปรากฏใน โกยัลปุราณะ (โกยัลปราณะ  คือตำนานเกี่ยวกับความเป็นมาของเทวาลัยต่าง ๆ)  ในศาสนาฮินดู  ฉลับอินเดียใต้กล่าวว่า  ในกาลครั้งหนึ่งมีฤๅษีพวกหนึ่งตั้งอาศรมบำเพ็ญพรตอยู่กับภรรยาในป่าตาระคา  ต่อมาฤๅษีพวกนี้ประพฤติอนาจารฝ่าฝืนเทวบัญญัติ  ร้อนถึงพระศิวะต้องชวนพระนารายณ์ลงมาปราบ  พระศิวะทรงแปลงพระองค์เป็นโยคีหนุ่มรูปงาม  พระนารายณ์ทรงแปลงองค์เป็นภรรยาสาวสวย  ทั้งนี้เพื่อล่อให้พวกฤๅษีและภรรยาเกิดความหลงใหลในความงามเพราะอำนาจราคะจริต  จนเกิดการวิวาทแย่งชิงกันในบรรดาฤๅษีและภรรยาด้วยกันเอง  แต่พระศิวะและประนารายณ์แปลงกายไม่ปลงใจด้วย  เมื่อฤๅษีและภรรยาไม่ประสบความสำเร็จ  จึงทำให้ฤๅษีเหล่านั้นเกิดโทสะพากันสาปแช่งพระศิวะและประนารายณ์แปลงกายทั้งสอง  แต่พระศิวะและพระนารายณ์ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  พวกฤๅษีจึงเนรมิตเสือขึ้นตัวหนึ่งเพื่อฆ่าโยคีและภรรยาปลอมตัวให้ตาย   พระศิวะจึงต้องฆ่าเสือและนำหนังเสือมาทำเป็นเครื่องแต่งองค์  พวกฤๅษีจึงเนรมิตให้เกิดพญานาคขึ้นตัวหนึ่งเพื่อต้องการให้พ่นพิษใส่โยคีและภรรยาปลอมตัว  พระศิวะจึงจับพญานาคตัวนั้นมาพันพระวรกายทำเป็นสายสังวาลย์ประดับองค์   ต่อมาก็ทรงกระทำปาฏิหาริย์โดยการร่ายรำทำท่าไปมาแต่พวกฤๅษีก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์  พวกฤๅษีจึงเนรมิตยักษ์ค่อมมีสีผิวดำสนิทขึ้นตนหนึ่งมีชื่อว่า มุยะละคะ  หรืออสูรมูลคนี   พระศิวะเห็นดังนั้นจึงใช้พระบาทขวาเหยียบยักษ์ตนนั้นแล้วทรงฟ้อนรำอยู่บนหลังยักษ์ตนนั้นต่อไปจนหมดกระบวนท่ารำ  เมื่อฤๅษีเห็นดังนั้นก็สิ้นทิฐิยอมรับผิด  ทูลขอชมาโทษและสัญญาว่าจะปฏิบัติตนอยู่ในเทวบัญญัติอย่างเคร่งครัดต่อไป

               

                  ต่อมาพญาอนันตนาคราชซึ่งเป็นบัลลังค์นาคของพระนารายณ์  ได้ฟังพระนารายณ์ทรงเล่าถึงการฟ้อนรำของพระศิวะในป่า ตาระคา  มีความประสงค์ที่จะได้ดูการฟ้อนรำของพระศิวะบ้าง  (บางตำราว่าการปราบฤๅษีในครั้งนั้น  พญาอนันตนาคราชได้ตามเสร็จไปด้วย)  พญาอนันตนาคราชจึงทูลพระนารายณ์ให้ทรงทูลพระศิวะ  ให้ทรงฟ้อนรำให้ด  พระนารายณ์จึงทรงแนะนำให้พญาอนันตนาคราชบำเพ็ญพรตบูชาพระศิวะเพื่อขอพรแล้วจะได้ทุก ๆ อย่างที่ต้องการ  พญาอนันตนาคราชก็ทรงทำตาม   และเมื่อได้เวลาทูลขอการฟ้อนรำ  พระศิวะก็ทรงรับคำว่าจะลงมาฟ้อนรำให้ดูในโลกมนุษย์  ณ ตำบลที่มีชื่อว่า จิทัมพรัม  ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของโลก  ให้พญาอนันตนาคราชมาคอยดู  ครั้นถึงวันที่กำหนดพระศิวะก็เสด็จลงมายัง ติลไล  หรือตำบล จิทัมพรัม   (ในแคว้นมัทราษฏร์)  ทรงเนรมิต นฤตสภา (หรือเทวสภา) ขึ้นแล้วจึงฟ้อนรำตามที่เคยทรงประทานสัญญาแก่อนันตนาคราชอีกครั้งหนึ่ง  ครั้งนี้มีพระบัญชาให้ภรตมุนี ซีงอยู่ใน ณ ที่นั้นด้วย  บันทึกสร้างเป็นตำราการฟ้อนรำขึ้น

                ต่อมา พระพรหมได้มีเทวบัญชาแก่พระภรตฤๅษี  ให้สร้างโรงละคร  และจัดการแสดงละครขึ้น  พระภรตฤาษีรับเทวบัญชาแล้ว  ก็ขอให้พระวิศุกรรมเป็นผู้สร้างโรงละครได้   ทั้งโรงขนาดใหญ่  ขนาดกลางและขนาดเล็ก  ซึ่งมีทั้งโรงรูปสามเหลี่ยม  สี้เหลี่ยมจัตุรัส  และสี่เหลี่ยมผืนผ้า   แล้วพระภรตฤๅษีก็บัญญัติการแสดงขึ้น  โดยแต่งเป็นโศลกบรรยายท่ารำต่าง ๆ ของพระศิวะ 108 ท่าโดยให้รำเบิกโรงด้วยการรำตามโศลก  ซึ่งขับกล่อมเป็นทำนองจนจบเพลง  แล้วจึงจับเรื่องใหญ่  ตำราการแสดงละครของพระภรตฤๅษี มีชื่อว่า  นาฏยศาสตร์ หรือ

ภรตศาสตร์  

    จากตำนานที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าพระศิวะทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญการฟ้อนรำอย่างมากที่จะหาผู้ใดเทียบได้  ด้วยเหตุนี้ชาวอินเดียทั้งหลายจึงนับถือพระศิวะว่าทรงเป็นนาฏราช  คือพระราชาแห่งการฟ้อนรำ  ชาวอินเดียได้สร้างพระศิวะเป็นท่าฟ้อนรำโดยกำหนดให้เป็นท่าเหยียบยักษ์ค่อม  ตามตำนานที่ปรากฏในโกยัลปราณะ   นอกจากนี้ยังมีอีกท่ารำท่าหนึ่งเป็นท่าฟ้อนรำและยกพระบาทข้างซ้ายเหมือนกัน  แต่ไม่มีการเหยียบหลังยักษ์  ทั้งสองท่านี้เรียกชื่อเหมือนกันว่า เทวรูปปางนาฏราช

                ในประเทศอินเดียเมืองจิทัมพรัม  ห่างจากเมืองมัทราช (อินเดียใต้) ราว 150 ไมล์ มีเทวาลัยแห่งหนึ่งชื่อ จิทัมพรัม  แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า เทวาลัยศิวะนาฏราช  เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1800 ภายในมีช่องทางเดินเข้าสู่ตัวเทวาลัยชั้นใน  มีภาพแกะสลักด้วยหินเป็นรูปตัวระบำผู้หญิงแสดงท่ารำต่าง ๆ  108 ท่า  (ตามตำนานที่ว่าพระศิวะทรงฟ้อนรำ 108 ท่า ) ท่ารำต่าง ๆ นี้ตรงกับคำที่กล่าวไว้ในตำราที่มีชื่อว่า นาฏยศาสตร์  ท่าฟ้อนรำเหล่านี้เป็นท่ารำที่นาฏศิลป์อินเดียใช้เป็นแบบฉบับในการฟ้อนรำ  เพราะเชื่อว่าเป็นท่ารำที่พระศิวะทรงฟ้อนรำที่ตำบล  อันเป็นที่ตั้งของเทลาลัยนี้เอง  การฟ้อนรำตามภาพแกะสลัก  ท่ารำที่เทลาลัยศิวะนาฏราชเป็นที่นิยมแพร่หลายต่อมาทั่วประเทศอินเดีย  และโดยนัยนี้ก็ได้เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยด้วย   ท่านผู้ทรงวิทยาคุณทั้งหลายได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า  คงเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยานี่เอง  เพราะใน          พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นเวลาที่สร้างเทวสถานที่เมืองจิทัมพรัมนั้นเป็นระยะเวลาที่ไทยเพิ่งตั้งกรุงสุโขทัยท่ารำ  ที่ไทยเราได้ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกนั้นก็ต้องเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา  ต่อมานักปราชญ์ของไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้แก้ไขปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง  ท่าฟ้อนรำของนาฏศิลป์ไทย  จึงดูห่างไกลกับท่ารำของอินเดียที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

 

 

เทวรูปพระศิวะ ปาง นาฏราช  ศิลปะแบบอินเดียใต้

แสดงท่าเหยียบอสูรชื่อ มุยะละคะ


                ตำราฟ้อนรำ  ของไทยแต่เดิมแปลมาจากตำราของอินเดีย  ดังที่กล่าวไว้ในตำนานฟ้อนรำของอินเดีย  และบรมครูทางนาฏศิลป์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในชั้นหลังก็มีโดยพบจาก  คำกลอนของเก่าว่าด้วยตำรามีอยู่  3  บท

                1.   เป็นกลอนสุภาพ  แต่งบอกตำราท่ารำไว้แต่โบราณมีท่ารำ 66 ท่า (รำแม่บทใหญ่)

                2. บทละครเรื่องรามเกียรติ์  พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1  ตอนนารายณ์ปราบนนทุก         คัดแต่ท่าเฉพาะที่จะรำในบทนั้นไปเรียงไว้ในบทกลอน   1   บท  เรียกว่าแม่บทนางนารายณ์

                3.   เป็นคำไหว้ครูของละครชาตรี  โนราห์เมืองนครศรีธรรมราช

 

รูปแบบของนาฏศิลป์ไทย

                เมื่อมองย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13  วัฒนธรรมไทยได้พัฒนาขึ้นมา  2  สาย  คือ

                1. วัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งถือปฏิบัติมาจากคนพื้นบ้าน ดังนั้นจังได้อิทธิพลอย่างมากจากอารยธรรมต่างประเทศโดยเฉพาะอารยธรรมของชาวอินเดีย  ที่ได้แผ่ขยายเข้ามาทั่วมหาสมุทรอินเดียจนถึงเอเชียอาคเนย์  และเชื่อกันว่าได้เข้าถึงประเทศไทยในสมัยอาณาจักรทวารวดี  และอาณาจักรเขมรโบราณ  อิทธิพลและศาสตร์ของชาวอินเดียได้แสดงรูปแบบของตัวเองโดยผ่านทางศาสนา (ศาสนาฮินดู และพุทธ)  ภาษา   จากโคลงที่กล่าวถึงความกล้าหาญ คือ  จักรและนารายณ์ศาสตรา  รวมทั้งเรื่องอื่นๆ อารยธรรมตะวันตกที่ได้แผ่ขยายเข้ามาในประเทศไทยโดยอาศัยช่องทางการค้าขายระหว่างประเทศในช่วงปลายอยุธยาเป็นต้นมา ซึ่งได้นำเอาวัฒนธรรมเข้ามาเผยแพร่ด้วย เช่น รูปแบบการเต้นบัลเล่ต์มาจากการแสดงของชาวยุโรป  การแสดงรองเง็งมากจากการแสดงของชาวสเปน รวมแล้วประเทศไทยได้รับวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานกลมกลืนจนมีรูปแบบใหม่ที่มีลักษณะโดดเด่นเพียงแบบเดียวในที่สุด

 

                2. วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากคนพื้นเมือง  สามารถมองย้อนไปในสมัยสุโขทัย  ราว ๆ ปี  ค.ศ.1238 1378  อันเป็นสมัยที่สุโขทัยเป็นราชธานี  เวลานั้นประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ  ทำให้ชาวบ้านเกิดการละเล่นในแต่ละท้องถิ่นที่ต่างกันตามภูมิประเทศ  การดำรงชีวิต  สภาพสังคมและวัฒนธรรมย่อย ดังเช่น

                -      นาฏศิลป์ภาคกลาง  เช่น  เต้นกำรำเคียว  เป็นการแสดงของชาวบ้านภาคกลางที่มาจาก

                       กิจกรรมการทำนำ  เกี่ยวข้าว  ในฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งการปลูกข้าวก็เป็นอาชีพหลักของ

-      นาฏศิลป์ภาคเหนือ  เช่น ฟ้อนเล็บ   เป็นการแสดงที่บ่งบอกถึงความเป็นภาคเหนือด้วยเครื่องแต่งกาย  ลักษณะท่ารำ 

-      นาฏศิลป์ภาคอีสาน  เช่น  เซิ้งโปงลาง  เป็นการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคอีสานโดยเฉพาะการนำเอาเครื่องดนตรีของทางภาคอีสานเป็นทำนองเพลง

-    นาฏศิลป์ภาคใต้  เช่น  มโนราห์  ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำภาคใต้ซึ่งคนใต้เป็นคนที่มักทำอะไรรวดเร็ว ดังนั้นการรำมโนราห์จึงเป็นการรำที่ดูรวดเร็วและแข็งแรง ไม่อ่อน-ช่อยเหลือการรำในภาคอื่น ๆ


                ภายหลังจากการกำเนิดนาฏศิลป์ไทยนั้นทำให้นาฏศิลป์ไทยวิวัฒนาการและเกิดการพัฒนาจนถูกจัดประเภทโดยแบ่งออกตามลักษณะการแสดงซึ่งประกอบไปด้วย

1.       โขน

2.       ละคร

3.       ระบำ  รำ  ฟ้อน

            และนาฏศิลป์ไทยสามารถจำแนกรูปแบบเป็นหลักไว้  2 แบบ คือ

1.       นาฏศิลป์อย่างมีแบบแผน (มาตรฐาน)

2.       นาฏศิลป์พื้นเมือง (ภาคเหนือ ภาคกลาง  ภาคอีสาน  ภาคใต้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น